สถานการณ์ของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันนั้นทำให้ส่งผลกระทบในหลายๆด้าน และยังส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนทั่วๆไปอีกด้วย ไม่ว่าจะจากลักษณะของเชื้อที่ระบาดได้ง่ายขึ้น จำนวนของยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวันอย่างรวดเร็ว รวมถึงคนใกล้ตัวที่ได้รับเชื้อโควิดในครั้งนี้ ทำให้ผู้คนเกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เกิดผลต่างๆตามมา ที่ทำให้ส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ว่าจะมีการปิดเมือง ปิดประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สนามบินเงียบเหงา สถานที่ท่องเที่ยวแทบร้างผู้คน หลายธุรกิจต้องปิดกิจการลง สถานบันเทิงถูกปิด มีผลกระทบวงกว้างไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็โดนผลกระทบในครั้งนี้ กระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจนแทบจะไม่มีทางออกกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ร้านอาหารก็นั่งกินที่ร้านไม่ได้ บางร้านต้องปิดกิจการ ลดพนักงาน หรือเลิกจ้างไปเลยก็มี ซึ่งก็ทำให้ผู้คนเกิดความระแวง ไม่ออกจากบ้านถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ
เพื่ออัพเดตการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ ซึ่งข้อมูลบนโลกออนไลน์ก็มีทั้งจริงและไม่จริงปะปนกันไป หรือแม้แต่บางข้อมูลที่เรายึดถือเป็นแนวทางในการป้องกันการติดเชื้อมาตลอด ก็อาจจะมีการแจ้งข้อมูลข่าวสารที่ผิดพลาดได้ ทำให้มีคนเข้าใจผิดพลาดตามมาได้อีกเป็นจำนวนมาก และเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะดีขึ้น ไวรัสโคโรน่าหรือโควิด-19 ทำให้หลายๆคนเป็นกังวลและคอยติดตามข่าวสารกันอยู่ตลอดเวลา ถึงจำนวนของผู้ติดเชื้อ อัตราการเสียชีวิต รวมไปถึงวิธีป้องกันและดูแลตัวเองจากการติดเชื้อที่อันตรายนี้ นอกจากโรคโควิด-19จะส่งผลต่อสุขภาพกายแล้วก็ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตอีกด้วย
ทุกๆอย่างที่ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนมักน่ากลัวเสมอ เมื่อเราไม่รู้ว่าตนเองหรือคนที่เรารักจะได้รับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัวตอนไหน มันก็ทำให้มีความเครียดตามมา เครียดว่าถ้าเป็นแล้วจะมีอาการเป็นยังไง ติดเชื้อมาจะมีโรงพยาบาลรักษาไหม ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจริงๆจะรักษาหายหรือเปล่าแล้วภาครัฐมีเตียงรองรับผู้ป่วยผู้ติดเชื้อที่เพียงพอแค่ไหน หรือแม้กระทั่งกลัวว่าจะเกิดผลกระทบต่อการเรียน การทำงานหรือเปล่า จะหารายได้มาใช้จ่ายหรือดูแลคนในครอบครัวของตนเองได้อย่างไร
ความไม่แน่นอนต่างๆเหล่านี้ร้ายกาจพอๆกับเจ้าตัวไวรัสโควิด-19 เพราะทำให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก ความกังวลกับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงนั้นก็ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจเพิ่มมากขึ้นทุกวัน แน่นอนว่าความกลัวนั้นเป็นอารมณ์พื้นฐานของทุกคน เมื่อเราเผชิญกับความกลัวนี้ คนทั่วไปก็จะมีปฏิกิริยาที่จะปรับพฤติกรรมหรือปรับตัวเพื่อหลบเลี่ยงจากความกลัวดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะนำไปสู่ความวิตกกังวล มันเลยส่งผลต่อสุขภาพจิตใจโดยตรง
ไม่แปลกเลยที่มีอาจารย์จาก Harvard Business School ได้ทำวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างสถานการณ์โควิดกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วไป พบว่าคนกว่าครึ่งที่ระบุว่าโควิด-19 ได้นำไปสู่สุขภาพจิตที่ย่ำแย่ ทำให้ความวิตกกังวลอยู่ในความคิดและจิตใจตลอดเวลา ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นๆได้เลย นอนไม่หลับ ใช้พลังงานด้านความคิดค่อนข้างสูง พลังงานในการใช้ชีวิตแต่ละวันลดน้อยลง ไม่มีPassion ไม่มีแรงบันดาลใจ ส่วนคนจำนวนมากที่ปกตินั้นแทบจะไม่ได้อยู่บ้าน เป็นสัตว์สังคม ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการได้อย่างอิสระ อยากไปที่ไหนก็สามารถไปได้ทุกที่ตามความต้องการของตนเอง ต้องมาเปลี่ยนการใช้ชีวิตของตัวเองแบบกะทันหัน เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน ทำให้บางคนก็ยอมรับไม่ได้ในเรื่องของการลดกิจกรรมต่างๆ สิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และสุขภาพจิตใจของคนในช่วงสถานการณ์โควิด-19แบบนี้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นการซ้ำเติมบุคคลที่หาเช้ากินค่ำ หรือมีชีวิตที่ลำบากอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องเจอกับปัญหาทางด้านสุขภาพจิตอันเนื่องมาจากโควิด-19 ในช่วงของความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ก็เป็นสิ่งที่แย่เอาซะมากๆเลยว่าไหมล่ะคะ อย่างคนไร้บ้านในสถานการณ์โควิด-19 ก็มีคนไร้บ้านเพียงร้อยละ20.14 เท่านั้นที่เข้าถึงความช่วยเหลือ ของมาตราการความช่วยเหลือแรงงานนอกระบบที่สำคัญของภาครัฐ คือโครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน ที่ให้ช่วยเหลือแรงงานนอกระบบผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐขาดการประเมินความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีของกลุ่มคนไร้บ้าน และยังมีบุคคลอีกหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐเลย
ขอบคุณรูปภาพจาก unsplash
ทั้งด้านสุขภาพกาย เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ กระทั่งด้านการมีมุมมองต่อโลกที่ส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจ เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่และเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องอาศัยทักษะในการปรับตัวต่อการดำรงชีวิตค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ติดเชื้อเอง ที่ได้รับผลกระทบจากโรคทางกาย ทั้งอาการไข้ เหนื่อยง่าย หลายคนมีอาการขั้นวิกฤตที่ส่งผลต่อระบบหายใจ ส่งผลให้รู้สึกไม่ปลอดภัยและมีความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าตนมีส่วนทำให้เกิดการระบาดไปสู่ผู้อื่น หรือญาติผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระหว่างการเฝ้าระวัง มักรู้สึกหวาดหวั่นว่าตนจะป่วยไข้ไม่สบาย อีกทั้งยังกังวลสายตาตัดสินจากคนในสังคม เพราะความหวาดกลัวต่อโรค ไม่ว่าจะเป็นใคร ที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้ชีวิต ที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19นั้น ก็ได้รับผลกระทบทางจิตใจไม่มากก็น้อย ซึ่งผลกระทบทางจิตใจที่ได้รับขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมที่เข้ามากระทบและมุมมองของผลกระทบนั้น ทุกคนก็ไม่ได้ประเมินความหายนะที่เกิดขึ้นออกมาเท่ากันเสมอ
ดังนั้นเราควรดูแลสุขภาพจิตให้ดี ซึ่งสุขภาพจิตที่ดีนั้นควรเริ่มต้นจากการดูแลตนเอง ช่วงที่ผ่านมาหลายคนหันมาสนใจและใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตกันมากยิ่งขึ้น ว่าได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่จับต้องไม่ได้ ใครๆก็เครียดได้ความรู้สึกเศร้า สับสน กลัว หรือโกรธ ในช่วงวิกฤตแบบนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ แต่อาการเหล่านี้ก็เกิดจากปัญหาความตึงเครียด ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีเหตุการณ์ที่เกิดความผันผวนในชีวิต ความเครียด ความกดดันในสังคม ทำให้ปัญหาความเครียด อารมณ์เศร้า ความวิตกกังวลที่มาจากโควิด-19นี้ กลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตได้เลย และถ้าหากทุกๆคนมีความเครียด แต่ความเครียดเหล่านั้นไม่ได้รับการดูแลรักษาก็อาจจะนำไปสู่โรคทางจิตเวชได้
วันนี้เรามีวิธีดูแลตัวเองในสถานการณ์ที่กำลังเกิดโรคโควิด-19กัน อย่างแรกเลยคือการพักผ่อนให้เพียงพอ และถูกสุขลักษณะอนามัย หยุดพักจากสิ่งกระตุ้นแล้วหันไปทำกิจกรรมที่เพลิดเพลินแทนอย่างเช่น ดูหนัง ฟังเพลงหรือสร้างผลงานศิลปะขึ้นมา ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อระบายอารมณ์ หากไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกด้านลบได้ ควรติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนฝูงอย่างต่อเนื่อง อาจลองทำงานอดิเรกใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนดู อยู่กับตัวเอง หาอะไรที่ทำแล้วเกิดสมาธิ ลดการดู การอ่าน หรือการฟังข่าวที่ทำให้รู้สึกหดหู่ใจ ไม่หลงเชื่อข่าวลือเลือกรับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันโรคที่ถูกต้อง อัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับโรคเพียง 1-2 ครั้งต่อวันเท่านั้น ดูน้อยก็เครียดน้อยเพราะอย่างนั้นควรจัดการความเครียดและความกังวลใจ ด้วยการจำกัดเวลาการติดตามข่าวสารที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล เพราะกระแสข่าวต่างๆที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกกลัว กังวลได้ง่ายๆ การอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้จะช่วยให้แยกแยะข้อเท็จจริงจากข่าวลือได้ง่ายขึ้น ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านั้นจะช่วยทำให้ลดความวิตกกังวลได้
เราจะต้องมีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีควบคู่ไปด้วยกัน เนื่องจากการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายสัมพันธ์กับสภาวะของจิตใจ หากร่างกายเจ็บป่วยก็จะทำให้ทุกข์ใจได้ ส่วนการดูแลสุขภาพใจนั้นก็เปรียบเสมือนการสร้างภูมิต้านทานให้กับจิตใจ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาในชีวิต มีเหตุการณ์อะไรในสังคมที่ทำให้รู้สึกหดหู่ใจจนเกินไป ก็จะได้มีแนวโน้มว่าจิตใจของเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี สิ่งที่ช่วยให้สุขภาพจิตดีได้คือการพยายามหาศักยภาพในตัวเอง เพื่อใช้ในการจัดการกับวิกฤตในชีวิต การมองและยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น พร้อมกับการหาทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม และการรู้จักผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมสันทนาการต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้ส่งเสริมสุขภาพจิตไปในทิศทางที่ดีได้
บทความโดย PG999SLOT